คนกีต้าแมว
Directed Joel Coen and Ethan Coen
หนังล่าสุดของพีน้องโคเอน โดยเรื่องนี้ยังคงตามสไตล์ของตัวเอง
ซึ่งมักหยิบเอาชีวิตอีกด้านมานำเสนอ
โดยเรื่องนี้นำเสนอ ชีวิตนักดนตรีโฟล์กซองในช่วงบุกเบิกของต้นทศวรรษ 70 โดยผ่านเรื่องราวของลูวิน
เดวิด
การนำเสนอตามแบบฉบับของพวกเขา เราแทบไม่กล้าจินตนาการถึงบทสรุป
และนี้ทำให้คอยลุ้นจนตัวแข็งหลังจากถูกชายนิรนามกระแทกหมัดขวาเข้าที่ใบหน้าลูวิน
จนคว่ำล้มไปกองกับพื้นหลังร้านบาร์
ทันควันกลับอาการช๊อคและความไพเราะของดนตรีโฟล์คในช่วงแรก
แม้โครงเรื่องนี้ จะไม่เกี่ยวกับดนตรีอื่นที่ไม่ใช่โฟล์คซองอยู่บ้าง
แต่เราจะเห็นแง่มุมบุกเบิกของแนวดนตรีโฟล์คผ่านชีวิตของลูวิน เดวิด
ที่แทรกซึมเข้ามาในการฝ่าฟันอุปสรรค มากกว่าจะเห็นโฟล์คทั้งตุ้น
ขณะที่ลุ้นไปกลับชีวิตของเขา
หนังกลับเดินเรื่องไม่ค่อยจะสดใส่ มิใช่เพราะใบหน้าอันอมทุกข์ของลูวิน หรือปัญหาที่ทับทมเข้ามา
แต่ยังรวมถึงอาการเคว่งคว้างของลูวิน ทุกครั้งที่ถูกถามถึงสมาชิกวงและเรื่องอนาคต
อาจเพราะความเป็นนักร้องเดี่ยวใกล้ตายแล้ว หรือความเป็นแบนด์น่าสนใจกว่า
ตัวเรื่องอันน่าหดหู่เช่นนั้น
แต่กลับไม่สามารถแสดงความน่าเบื่อหรืออาการเซงได้อย่างเต็มที่ ก็เพราะดนตรีโฟล์ค
และยังรวมถึงแมวด้วย เช่น คนกับแมว การหายไปของแมว หรือเจอแมวโดยบังเอิญ
หรือแมวผิดตัว หรือมันกลับสู่บ้าน หรือถ้อยเย่อหยันชวนหัวของโรแลงค์
ซึ่งช่วยทำให้หนังเรื่องน่าหดหู่เช่นนี้กลับสดใสและน่ารักขึ้น
ทำให้เราสนุกไปกลับการลุ้นชีวิตของลูวิน และยิ่่งช่วงท้ายอารมณ์ของเรื่องกลับแสดงการบีบรัดและคลายตัวออกมาอย่างเด่นชัด
เริ่มเมื่อลูวินเลือกจะทิ้งแมวไป,กลับมาสมัครเป็นกะลี
และในไนล์คลับบาร์โฟล์คเมืองนิวยอร์ก
ซึ่งจะเผยบทสรุปอันน่าหดหู่และน่าเศร้าของชีวิตผู้ต้องการบุกเบิก
เป็นความอัปยศที่น่าหลงใหล หากชีวิตจริงไม่ได้เป็นเพียงแค่
เรื่องราวที่เล่ายังไม่จบ แต่ตอนจบละ คงถูกทิ้งทวนด้วยคำถามตัวใหญ่
ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรในภาพยนตร์ ซึ่งไม่ได้ถูกนำเสนอผ่านคนดู
และผู้มาหลังย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จกว่า
ในขณะที่ลูวินเดินออกไปหลังร้านบาร์
เขาก็กำลังมองชายหนุ่มผมฟู่ฟ่อง ที่กำลังนั่งร้องเพลงโฟล์คหลังจากเขาร้องจบ
ขณะที่ตัวเองกำลังก้าวเท้าอย่างเนินนาบออกไปเผชิญอนาคต ที่เราอยากจะปิดตา และตัวลูวินเองคงไม่อยากรู้ว่า ไอ้หนุ่มคนดังกล่าวคือใคร หรือว่าเขาเองก็อยากรู้
แล้วเราละ!
ดังนั้น อินไซน์ลูวิน เดวิสจึงแสดง
ออกของอาการบุกเบิกของดนตรีโฟล์คได้ช้ำใจยิ่ง และสมกลับแบบฉบับตลกร้ายของสองผู้กำกับดังกล่าว